กระสือครึ่งคน – Krasue-Kreung-Khon 2016

เรื่องย่อหนัง
หนัง Kra Sue Krueng Khon หรือชื่อไทยว่า กระสือครึ่งคน ”กระสือครึ่งคน” เล่าเรื่องราวของแก๊ง 5 หนุ่มแคระหัวใจแกร่งที่ต้องออกผจญภัยตามล่าฝูง กระสือ ที่จู่ๆ ก็โผล่มาสร้างความเดือดร้อนในหมู่บ้านคนตัวเล็กของพวกเขา ภารกิจเฮี้ยนโหดฮาครั้งนี้ทำให้พวกเขาถึงขนาดต้องเอาชีวิตเข้าแลก ยอมกลายร่างเป็น กระสู (กระสือเพศชาย) ต่อสู้เพื่อนำความรักและความสุขสงบคืนแก่หมู่บ้านของพวกเขาอีกครั้ง เปิดศักราชภาพยนตร์ไทยปี 59 กับความกล้าหาญสุดสตรองของเหล่าผู้กล้าตัวน้อย ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและความยากลำบาก
ตัวอย่างหนังออนไลน์

รีวิวหนัง
กระสือครึ่งคน (บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ / Thailand / 2016)
แวบแรกที่เห็นหน้าหนังส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกว่าแค่ลำพังการที่เอาคนกลุ่มนี้มาเล่นมันไม่สมควร หรือให้ความรู้สึกย่ำแย่จนต้องปลดปลงอะไรนะ เมื่อมองในมุมที่ว่า ‘พวกเขา’ ก็ต่างไม่อยากถูกจำแนกออกจากสังคมและอยากถูกมองอย่างคนปกติ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันต่างจากหนังตลกที่เต็มไปด้วยกะเทย หรือตลกคาเฟ่ ที่ถูกทรีตให้ดูราคาถูก หรือแม้แต่หนังที่เต็มไปด้วยหนุ่มหล่อสาวสวยขายหน้าตาขายนมขายกล้ามสักเท่าไหร่ ถ้าหนังมันจะดีหรือแย่ ความดีงามหรือความย่ำแย่ของหนังก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคนกลุ่มไหนเล่น และในเมื่อโลกความเป็นจริงเราก็ยังเห็นคนไม่น้อยยังเล่นล้อปมด้อยเหล่านี้ให้เกิดเสียงหัวเราะได้สำเร็จในแบบที่หนังกำลังทำให้ดู มันก็ไม่ได้เลวร้ายมากไปกว่าความเป็นจริงเท่าไหร่นัก ความรู้สึกแรกที่ตีตั๋วเข้าไปดูก็เลยอยู่แค่เสมอตัว

ส่วนตัวแล้วหนังมีข้อเสียหนึ่งที่เตรียมใจมารับตั้งแต่แรกแล้วก็ตรงที่รสนิยมการเล่นมุกตลกบางมุกที่เข้าขั้นอุบาทก์และราคาถูกโดยไม่จำเป็นเกินไปหน่อย บางมุกอย่างกินขี้กินเยี่ยวกระสือยังพอเข้าใจได้ และดูเป็นการปูนำทางไปสู่บางอย่างด้วยเหตุผล แต่มุกอย่าง เป่าหอย-เกาหอย ที่หยอดเล่นแบบโต้งๆ นี่ ไม่ซื้ออย่างแรง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยมุกสรีระที่ยังก้าวข้ามไปไม่พ้น ยิ่งทำให้การพะยี่ห้อ สหมงคลฟิล์ม และชื่อผู้กำกับอย่าง บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ นั้นมันยิ่งทำให้หนังดูเลวร้ายกว่าที่เป็นไปได้เมื่อเทียบกับมาตรฐานกับงานหนังที่ผ่านๆ มา
แต่เมื่อตัดส่วนเหล่านั้นออกไปและรู้สึกกับหนังในฐานะหนังตลาดล่างก็ถือว่า กระสือครึ่งคน เป็นหนังที่โปรดักชั่นที่อยู่ในเกณฑ์ดี ไม่จับฉ่ายเรี่ยราด งานภาพในหลายๆ ฉากสวยงามกว่าหนังใหญ่ค่ายเดียวกันหลายๆ เรื่องเสียอีก ภาษาภาพและการกำกับที่ถึงแม้จะสลับปนเประหว่างความไหลลื่นและลื่นไถลลงคลองอยู่ทั้งเรื่อง แต่โดยรวมแล้วก็ยังให้ความไหลลื่นมากกว่าและทำให้ดูเพลินไปได้เรื่อยๆ คือหากจับถอดแยกแต่ละฉากออกมาดูและแยกฉากที่ดีและไม่ดีแล้วฝั่งที่ดีก็ยังชูหนังให้ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร นักแสดงบางคนอาจจะแข็งทื่ออยู่บ้างแต่เมื่อรวมกลุ่มกันแล้วก็ดูโดดเด่นและเข้าขากันได้น่ารักดี จนกระทั่งจุดเปลี่ยนเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเมื่อนอกจากกระสือ(ตัวเมีย)และกระสู(ตัวผู้)แล้ว มันยังมี กระหง(ส์) (กระหังนั่นแหละแต่มีปีกเหมือนหงส์?) ที่จู่ๆ ก็โผล่มาเป็นตัวร้ายของเรื่องเสียอย่างนั้น
ทั้งที่หนังสามารถเล่นกับ Dilemma ความกระอักกระอ่วนของตัวละครที่จะกำจัดกระสือที่เป็นคนรักของตัวเองให้เสร็จไปเลย และเราก็เอาใจเชียร์ให้หนังกลบคำสบประมาทของคนที่ดูแค่ตัวอย่างและหน้าหนังก็ด่าแล้วไปให้ได้บ้าง แต่หนังกลับเสียเวลาไปกับกระหง(ส์)อย่างไม่จำเป็นจนเรื่องราวค่อยๆ ออกทะเลไปเรื่อยๆ จนถึงตอนจบที่เหมือนกับว่าคนทำขี้เกียจแล้ว หรืองบหมดแล้วอย่างไม่น่าให้อภัย คนดูก็หันหน้ามองกันไปแบบงงๆ ว่าจบแล้วเหรอ แล้วจะไปหวังอะไรมากทำไมเล่า…

Author: mama